ตอนนั้นไฟบนหอพักปิดหมด ค่อนข้างมืดมาก อาจารย์ ย. ก็เดินตามทางบันไดไปจนถึงชั้น 4 ขณะที่กำลังจะเดินขึ้นไปถึงชั้น 5 ก็ได้เห็นนักเรียนหญิงคนหนึ่ง มองจากความมืดคือใส่ชุดนักเรียนอยู่ เธอวิ่งพรวดลงมาแบบไวมาก วิ่งผ่านอาจารย์ไปในความมืด อาจารย์ ย. กำลังจะเรียกมาถามว่าทำไมไม่ลงไปประชุม แต่นักเรียนคนนั้นวิ่งไปไวมากจนไม่ทันจะเรียก อาจารย์ ย. นึกสงสัยว่า เวลาป่านนี้แล้วทำไมเด็กนักเรียนคนนั้นถึงยังอยู่ในชุดเครื่องแบบ ทำไมยังไม่เปลี่ยนชุดลำลองเหมือนคนอื่นๆ อีกใจนึงอาจารย์ ย. ก็คิดว่าเด็กนักเรียนคนนั้นอาจจะรู้ว่าอาจารย์จะมาตรวจเวร เลยรีบวิ่งลงไปหรือเปล่า?
เพียงชั่วอึดใจที่อาจารย์ ย. กำลังยืนคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคนวิ่งมาอย่างเร็วจากชั้นล่าง กำลังจะขึ้นมาที่ชั้น 5 ซึ่งอาจารย์ยืนอยู่ เสียงวิ่งนั้นดังใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ อาจารย์จึงเดินจ้ำๆ เลยไปถึงชั้นดาดฟ้า เพื่อจะรอดักใครสักคนที่กำลังวิ่งขึ้นมา แต่แล้วเสียงนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงชั้น 5 อาจารย์ ย. ก็มองลงทางช่องบันได แต่ก็ไม่เห็นใคร.. อาจารย์กำลังจะเดินลงไปสำรวจต่อ ปรากฏว่าประตูดาดฟ้า (ชั้น 6) มีลมตีแรงมากจนเกิดเสียงดัง อาจารย์ ย. จึงหยุดชะงัก และรีบวิ่งขึ้นไปทางดาดฟ้าทันที โดยคิดว่าอาจจะมีเด็กนักเรียนคนอื่นแอบอยู่ก็ได้ พออาจารย์เปิดประตูดาดฟ้าพรวดออกไป ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้อาจารย์ ย. ถึงกับช็อค แทบสติหลุด!
อาจารย์ ย. เห็นนักเรียนหญิง ม.ปลายคนหนึ่งกำลังนั่งบนขอบระเบียงดาดฟ้า คล้ายจะโดดลงไป คือนั่งแบบนิ่งๆ สภาพผมเผ้ารุงรัง แต่อาจารย์ก็ยังใจดีสู้เสือ คิดว่าเป็นเด็กนักเรียนที่กำลังคิดไม่ดีจะทำร้ายตัวเอง อาจารย์จึงตะโกนบอกให้ลง อย่าทำแบบนี้! แต่เด็กคนนั้นกลับกระโดดพรวดลงไปต่อหน้าต่อตา! อาจารย์เห็นแบบนั้นเลยร้องกรี๊ดจนเสียงแตก ก่อนจะวิ่งไปมองตามลงไปข้างล่าง แต่สิ่งที่ช็อคยิ่งกว่า คือข้างล่างกลับไม่มีร่างของเด็กคนนั้น!? ตอนนั้นอาจารย์ ย. สติแทบหลุด และคิดว่าตัวเองโดนดีเข้าแน่ๆ แล้ว
พออาจารย์ตั้งสติได้ก็รีบจ้ำอ้าวลงบันไดไป และที่พีคสุดคือ ขณะที่อาจารย์กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดอยู่ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งขึ้นมาแบบตอนแรกอีก! อาจารย์ ย. จับราวบันไดพร้อมกับหลับตาสวดมนต์อยู่ในใจ สลับกับวิ่งๆ เดินๆ ไม่กล้าลืมตามอง คือคลำทางลงเอา แล้วเสียงวิ่งนั้นก็เหมือนจะสวนผ่านอาจารย์ไป จนขาอาจารย์แข็ง ลืมตามาอีกทีก็ลงมาถึงชั้นล่างของหอพักแล้ว.. อาจารย์บอกว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เจอหนักขนาดนี้ หลังจากคืนนั้นอาจารย์ถึงกับต้องขอลางานอาทิตย์นึงเลยทีเดียว
(สยองขวัญ ผีนางรำในหอพัก)
เรื่องราวย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 15 ปีก่อน ผู้ปกครองผม
ได้นำ ชื่อ วัน/เดือน/ปี เกิดของทั้งบ้านไปให้หมอดูที่จังหวัดสุพรรณบุรีทำนายดวงให้
ซึ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผมนั้นคือ ต้องยกผมเป็นลูกบุญธรรมให้ใครสักคนหนึ่ง
ซึ่งผู้ปกครองผมได้เลือกบุคคลที่นับถือในการยกผมให้ ตอนนั้นไม่รู้ว่า
ธรรมเนียมการยกเป็นลูกบุญธรรมนั้นต้องทำอย่างไร จึงเตรียมแค่ พวงมาลัย ธูปเทียนแพ
ไปขอแค่นั้น ณ เวลานั้นด้วยความที่ไม่รู้จึงคิดว่าเป็นอันเสร็จพิธีกรรม
จวบจนกระทั่งผม อายุได้ 18 ปี ผมสอบเข้าได้มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
แต่ในชั้นปีที่ 1 ต้องไปเรียนที่จังหวัดนครนายก 1 ปี ขณะที่ย้ายขอเข้าหอพักนั้น
ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะทุกคนต่างขนของเข้าหอกัน เป็นคณะๆ
ซึ่งคณะผมเป็นกลุ่มคณะที่ 2 ในการย้ายเข้า ทำให้มีนิสิตเข้ามาอยู่พอสมควร
ในช่วงพลบค่ำ เมทผมเริ่มทยอยเข้าห้องพัก แบ่งปันประสบการณ์ต่างๆที่รุ่นพี่ได้เล่าสู่
บ้างเล่าว่าในชั้นที่ 5 ของหอที่ผมอยู่เป็นไปได้อย่าขึ้นไปเพราะมีคนตาย
บ้างก็เล่าว่าอีกหอหนึ่ง มีผีผู้หญิงกระโดดตึกตายและไม่ไปไหน
ทุกคืนจะปีนกำแพงและกระโดดลงมาซ้ำๆ(ผมเรียกว่าผีวนลูป) ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เพราะผมเป็นคนที่ไม่ค่อยกลับอะไรเหล่านี้เท่าไหร่
สภาพห้องที่ผมอยู่นั้น อยู่ติดบรรไดหนีไฟของตึก
และอยู่หน้าห้องน้ำรวม (เป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดีเท่าไหร่ 55) เปิดประตูเข้าไป
ทางด้านขวามือจะเป็นตู้เสื้อผ้า 5 ตู้สำหรับนิสิต แต่จะเว้นระยะห่าง
ของตู้แรกกับประตูเป็นซอกเล็กน้อยเพื่อให้ประตูสามารถเปิดได้ ด้านขวามือ จะเป็นเตียงเดี่ยว 3 หลัง
เตียงสองชั้นหนึ่งหลัง ระหว่างเตียงจะมีโต๊ะเขียนหนังสือสำหรับนิสิตทุกคน
ด้านหลังห้องเป็นระเบียงชมวิวอันสวยงาม มีเมทคนหนึ่งเล่าว่า ให้ทำการซื้อตู้ เตียง โต๊ะเขียน
โดยการนำเหรียญบาทและทำการอธิฐานว่าเราขอซื้อของเหล่านี้เพื่อการอยู่อาศัย
และเมทผมยังบอกอีกว่าถ้าวันใดที่ไม่มีคนนอนบนเตียงนั้นๆ
ให้หาของมาวางบนเตียงเพื่อไม่ให้สิ่งที่เรามองไม่เห็นมานอนแทนได้ ส่วนใต้เตียงก็หาของมาวางซะ
ผมจำได้เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อเมททุกคนปิดไฟนอนกันหมด น่าจะหลัง 4 ทุ่ม ผมก็นอนของผมไป
ผมนอนอยู่เตียงที่ 3 ถ้านับจากหน้าประตู จนกระทั่งผมฝัน หรือกึ่งหลับกึ่งตื่นไม่ทราบ
ว่าอยู่บนเตียงที่ผมนอนอยู่ ไม่สามารถขยับตัวได้ ผมเห็นเงาดำๆ อยู่บริเวณซอกระหว่างประตู
และตู้เสื้อผ้า ผมมองไม่เห็นหาหรือสีสันใดๆ แต่ที่เห็นแน่ชัดคือ เขาสวมชฏาอยู่บนศีรษะ
พอผมเห็นดังนั้นผมจึงได้ยินเสียงฉิ่งที่ดังมาก เหมือนอยู่ข้างหูเลย เงาดำนั้นเริ่มรำ
แต่ไม่ได้รำสวยงามมาก ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องผีคนเป็นแล้ว ก็แบบนั้นเลย ทุกช่วงที่เงาดำนั้นเดินมา
เสียงฉิ่งยิ่งรัวเร็วขึ้น และดังขึ้นเรื่อย จนกระทั่งเงาดำนั้นมาอยู่ที่ข้างตัวผม
และชโงกหน้าแทบจะแนบชิดกับใบหน้าผม ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้น
บรรยากาศภายในห้องยังเหมือนเดิม ยังคงมีแต่เสียงพัดลมดังหึ่งๆ อยู่บนเพดาน
เช้าขึ้นมาผมได้เล่าเรื่องนี้ให้เมทฟัง ทุกคนก็ลงความเห็นว่า “โดนแล้ว”
ทุกวันนี้เสียงฉิ่งที่กระทบกันผมยังจำได้ฝังใจ